คนสมัยก่อน ท่องไม่เที่ยงเกิดดับ จนได้อรหันต์
***คนสมัยก่อน ท่องไม่เที่ยงเกิดดับ จนได้ อรหันต์
ก็ไม่รู้รายละเอียดเลยว่า ได้มรรคมีองค์ ๘ อย่างไร?
ได้โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการคืออะไร?
รู้แต่เพียง “ไม่เที่ยงเกิดดับ” เท่านั้น....
***ที่เขาว่ามรรค ผล นิพพาน ยาก
เพราะเขาไม่ได้ท่อง “ไม่เที่ยงเกิดดับ”
ไม่รู้ว่า “โอปนยิโก” น้อมมาใส่ตัว คือ การท่อง... ที่จะเข้าไปอยู่ในใจได้
ที่ผมบอกว่า บรรลุ มรรค ผล นิพพานง่าย...
เพราะ ท่านต้องท่องนะ ใครจะได้เร็ว ได้ช้ากว่ากัน ก็อยู่ที่การท่อง
มีความเพียรนี่ละ มันต้องท่องจนเข้าใจ มีในใจให้เต็มใจ
พวกเราพลาดกันตรงนี้อย่างนี้ละ...
***นี่คือ ผลของการแยก เหตุและผล
คำสอนพระพุทธเจ้าจะต้องรู้ว่า *อันไหนเป็นเหตุ *อันไหนเป็นผล
*ไม่เที่ยงเกิดดับ เป็นเหตุ
*มรรคมีองค์ ๘ เป็นผล
*ความพอใจไม่พอใจ เป็นเหตุ
*สังโยขน์ ๑๐ เป็นผล
บางคนเอา สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ฯลฯ ไปท่อง
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า... มันเบาบาง ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง
มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้เท่านั้น...
“วิชชา” เป็นเรื่องพระพุทธเจ้ารู้....
เมื่ออันนี้เกิดขึ้น อันนี้ก็ไม่เกิด *มันพลาดเพราะเอาผล ไปปฏิบัติกัน*
มรรคมีองค์ ๘ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือกฎธรรมชาติ ๒ กฎ
คือ *กฎไตรลักษณ์ และ *กฎอิทัปปัจจยตาปกิจจสมุปบาท
สรุปว่า *ไม่เที่ยงเกิดดับ...
พระพุทธเจ้าห้าม ไปเกี่ยวข้องสุดโต่ง ๒ ด้าน ให้อยู่ในสายกลาง
ปฏิบัติตามหลักสายกลาง คือ มรรคมีองค์ ๘
ทุกคนก็เอามรรคมีองค์ ๘ ไปปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และห้ามไปเกี่ยวข้อง ๒ ด้าน
มันมีคำหนึ่ง ตรงนี้ที่จะไปถึงคำว่า หลักสายกลาง
ว่า ตถาคตตรัสรู้มี ปัญญา มีดวงตา มีแสงสว่าง เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อท่านตรัสรู้แล้ว ต้องตีความว่า....
ตรัสรู้อะไร อีกครั้งหนึ่ง ตรัสรู้กฎ ๒ กฎนี้คือ *ไม่เที่ยงเกิดดับ
และไม่เที่ยงเกิดดับ หมายความว่า ขยะในใจถูกความจริง *ไม่เที่ยงเกิดดับ* ฆ่าหมดแล้ว...